สรุป กำเนิดจักรวาลโลกและมนุษย์

สรุป

การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่กัปบังเกิดขึ้น พรหมลงมากินง้วนดินจนกลายมาเป็นมนุษย์ ในยุคต้นกัป จนกลายสภาพความเป็นอยู่ของตนมาเป็นเช่นปัจจุบันนี้ ล้วนมีเหตุอันเกิดขึ้นมาจากจิตใจของ มนุษย์เอง แม้ว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากอะไร แต่พระพุทธศาสนา ก็มีคำสอนที่บอกเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นมิได้เกิดมาจากสัตว์เดรัจฉานอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คิดกัน

ความรู้ในวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ในแขนงต่างๆ เมื่อนำมาเปรียบกับความรู้ในพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นเพียงแค่ก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น เพราะความรู้ในพระพุทธศาสนาครอบคลุมความรู้ทั้งหมด แม้แต่อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ ยังแสดงความเห็น ต่อศาสนาพุทธว่า

“ ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นความเชื่อที่เป็นตัวเป็น ตนของพระเจ้า และหลีกเลี่ยงความเชื่อที่ศรัทธาแบบหัวรุนแรงโดยไม่พิสูจน์ และเรื่องความสัมพันธ์ของ พระเจ้ากับโลกมนุษย์ แต่จะเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ โดยมีพื้นฐานมา จากความรู้สึกทางศาสนาที่มาจากประสบการณ์ที่ได้ประสบกับสรรพสิ่ง ทั้งจากธรรมชาติและจิตวิญญาณ ด้วยนัยความหมายที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งพระพุทธศาสนาสามารถให้คำตอบในสิ่งที่พรรณนามาดังกล่าว ถ้าจะมีศาสนาใดที่รองรับได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้นก็คือ พระพุทธศาสนา”

การที่พระพุทธองค์ตรัสเรื่องถึงการเกิดขึ้นของจักรวาล โลก มนุษย์ ตลอดจนสรรพสิ่งนี้ เป็นเพราะเพื่อแสดงการเกิดขึ้นของพราหมณ์ และวรรณะต่างๆ ให้สามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ เกิดความอาจหาญร่าเริงภาคภูมิใจ ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาดังที่กล่าวในข้างต้น มิได้มีพระประสงค์ ที่จะแสดงการเกิดของสรรพสิ่งแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่า ความรู้เรื่องโลกไม่ได้ทำให้ผู้ใดล่วงพ้นจากทุกข์เลย

ดังนั้น เมื่อมีผู้ถามพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงตอบ ซึ่งบางครั้งถึงกับมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาขู่ถามว่า ถ้า พระองค์ไม่ทรงตอบว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร จะลาสิกขา พระองค์ก็ไม่ทรงตอบ เพราะทรงเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์กับภิกษุนั้นแต่อย่างไร เพราะการที่พระพุทธองค์ทรงสร้างบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น มิได้ปรารถนาเพียงเพื่อรู้ถึงสิ่งต่างๆ แต่อย่างใด แต่ทรงปรารถนาที่จะยกสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์ ด้วยเหตุนี้เองการที่พระพุทธองค์จะแสดงสิ่งใดก็ตาม ทรงเล็งเห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์

ดังนั้น การที่ทุกท่านได้มาศึกษาจักรวาลวิทยานี้ หากศึกษาเพียงเพื่อรู้ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ซ้ำยังเป็นการผิดพุทธประสงค์ แต่ถ้าศึกษาแล้วเกิดความเบื่อหน่าย เห็นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ของเดิมที่เกิดวนเวียนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ควรที่จะแสวงหาทางที่จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ซึ่งจะเป็นการได้ประโยชน์จากการศึกษาวิชานี้มากกว่า

1) ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542, พิมพ์ครั้งที่ 1, (กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์, 2546) หน้า 207.

2) ถวิล วัติรางกูล, เราคือใคร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงเทพ, 2530) หน้า 35.

3) กัปปสูตร, อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต, มก. เล่ม 35 ข้อ 156 หน้า 371-372.

4) สาสปสูตร, สังยุตตนิกาย นิทานวรรค, มก. เล่ม 26 ข้อ 432 หน้า 515- 516.

5) ปัพพตสูตร, สังยุตตนิกาย นิทานวรรค, มก. เล่ม 26 ข้อ 430 หน้า 514.

6) อุคคัญญสูตร, ทีฆนิกาย ปาฏิกาวรรค, มก. เล่ม 15 ข้อ 51-72 หน้า 145-165.

7) ในอินเดียจัดคนออกเป็นวรรณะต่างๆ 4 วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร กษัตริย์และพราหมณ์จัดว่าเป็นวรรณะสูง แพศย์เป็นวรรณะกลาง ส่วนศูทรเป็นวรรณะต่ำ ทั้ง 4 วรรณะนี้จะดูถูกเหยียดหยามกัน จะไม่มีการคลุกคลีกันข้ามวรรณะ ถ้าหากว่ามีชายหญิงใดที่มีวรรณะต่างกันมีความสัมพันธ์กันจนมีทารกออกมา ทารกนั้นจะเป็นที่รังเกียจของคนทั้งหลายและจะถูกเรียกว่า จัณฑาล.

8) กาลามสูตร, อังคุตตรนิกาย ติกนิกาย, มก. เล่ม 34 ข้อ 505 หน้า 337-339.

9) การเกิดของสิ่งชีวิตในภพภูมิต่างๆ มี 4 วิธี เรียกว่า กำเนิด 4 คือ 1. สังเสทชะกำเนิด คือ การเกิดในเถ้า ไคล สิ่งปฏิกูลต่างๆ เช่น การเกิดของจุลินทรีย์ เชื้อโรคต่าง 2. โอปปาติกะกำเนิด คือ การกำเนิดที่ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เมื่อเกิดแล้วโตเต็มวัยทันที ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และมนุษย์ยุคแรก 3. อัณฑชะกำเนิด คือ การเกิดในฟองไข่ เช่น พวกสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน 4. ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ในปัจจุบัน สัตว์ต่างๆ

10) อัคคัญญสูตร, ทีฆนิกาย ปาฏิวรรค, มก. 15 ข้อ 59 หน้า 155.


Complete and Continue