1.1 ศัพท์สำคัญที่ต้องศึกษา
1.1.1 จักรวาลวิทยา คือ อะไร
จักรวาลวิทยา คือ อะไร
คำว่า จักรวาลวิทยา ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Cosmology ประกอบด้วยศัพท์ 2 คำ คือ คำว่าจักรวาล ซึ่งพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำแปลไว้ว่า ปริมณฑล ประชุม หมู่ บริเวณโดย รอบของโลก และคำว่า วิทยา แปลว่า ความรู้ ดังนั้น คำว่า จักรวาลวิทยา เมื่อรวมความแล้วหมายความว่าความรู้ที่ว่าด้วยเรื่องโลกและบริเวณโดยรอบของโลก
เมื่อเราทราบความหมายจากคำในภาษาไทยแล้ว ยังมีคำจำกัดความในภาษาอังกฤษของคำว่า Cosmology แปลว่า the science of the origin and structure of the universe, especially as studied in ASTRONOMY แปลเป็นภาษาไทยว่า วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการกำเนิดและโครงสร้างจักรวาล จากการศึกษาทางดาราศาสตร์
จากความหมายของ จักรวาลวิทยา ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ทำให้เราทราบความหมายของวิชาจักรวาลวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ที่มีการศึกษากันทั่วไปในมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ความหมายของ วิชาจักรวาลวิทยาในเชิงพุทธศาสตร์ ยังไม่เคยมีใครให้ความหมายที่ชัดเจนไว้
ดังนั้น คณะผู้เขียนคู่มือการศึกษาวิชาจักรวาลวิทยาของมหาวิทยาลัยเปิดธรรมกายแคลิฟอร์เนีย จึงขอนำเสนอความหมายของวิชาจักรวาลวิทยาเชิงพุทธศาสตร์ ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Buddhist Cosmology มีความหมายว่า การศึกษาเรื่องความเป็นไปของโลก จักรวาล และสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และการเสื่อม ลายไป โดยการศึกษาจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคัมภีร์สำคัญ ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
จากความหมายของคำว่า จักรวาลวิทยาเชิงวิทยาศาสตร์ และจักรวาลวิทยาเชิงพุทธศาสตร์ ทำให้เราเห็นภาพรวมของวิชานี้ว่าเป็นการศึกษาเรื่องโลกและจักรวาลอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ แต่มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาแตกต่างกัน คือการศึกษาจักรวาลเชิงวิทยาศาสตร์มุ่งแสวงหาความรู้ใหม่ๆ โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ส่วนการศึกษาจักรวาลวิทยาเชิงพุทธศาสตร์เป็นการศึกษา ภาพความเป็นจริงของจักรวาล จากคำ อนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเตือนสติ
ให้ผู้ศึกษาเข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง
1.1.2 โลก คือ อะไร
ในหัวข้อต่อไปนี้ นักศึกษาจะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำศัพท์สำคัญที่มักจะพบบ่อยๆ ในทุกบทเรียนของหนังสือเล่มนี้ คือ คำว่า โลก ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจโดยความหมายแคบๆ ว่า โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงกลมๆ ที่อยู่ในระบบสุริยจักรวาลเท่านั้น แต่สำหรับความหมายของโลก ในทางพระพุทธศาสนายังมีความหมายที่กว้างกว่านั้น ดังนั้นเราควรทำความรู้จักความหมายของโลก ให้ถ่องแท้ว่า โลก คือ อะไร
โลก1 ความหมายของ โลก ในโลกสูตรกล่าวว่า มี 3 โลก คือสัตวโลกสังขารโลก โอกาสโลก
(หรือ อากา โลก) ในโลกทั้ง 3 นั้น หมู่สัตว์ทั้งหลายที่เนื่องด้วยอินทรีย์ ที่เป็นไปด้วยสามารถแห่งการสืบต่อ แห่งรูปธรรม อรูปธรรม และทั้งรูปธรรมและอรูปธรรม ชื่อว่าสัตวโลก โลกที่แยกประเภทออกไปเป็น พื้นดิน และภูเขาเป็นต้น ชื่อว่า โอกาสโลก ขันธ์ทั้งหลายในโลกทั้งสอง ชื่อว่าสังขารโลก
โลก2 แปลว่า แผ่นดิน หมายถึง มนุษย์ โดยปริยายหมายถึง (1)ส่วนหนึ่งแห่ง
กลจักรวาล เช่น มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก (2)ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ในระบบสุริยะ เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ลักษณะอย่างลูกทรงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ศูนย์สูตร ยาว 12,755 กิโลเมตร ศูนย์กลางที่ขั้วโลก ยาว 12,711 กิโลเมตร มีเนื้อที่บนผิวโลก 510,903,400 ตารางกิโลเมตร
โลก3 พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ให้คำจำกัดความจากคำสอนของพระมงคลเทพมุนี ( สด จนฺท สโร) ที่แบ่งเป็น 3 โลก ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขยายความเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้ คือ
1. สัตวโลก ได้แก่ จิตใจ หรือ เห็น จำ คิด รู้ ของ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
2. ขันธโลก ได้แก่ ขันธ์ 5 ตั้งแต่ขันธ์ 5 ของ สรรพสัตว์ของมนุษย์ เทวดา อรูปพรหม จนถึง กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระ กิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี และ กายธรรมอรหันต์
3. อากาสโลก ได้แก่สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมที่ติดตัวเราขยายออกไปโดยรอบไปถึง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ถึงจักรวาลต่างๆ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ขยายใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด
จากความหมายที่ได้รวบรวมมานั้น ทำให้เราทราบว่าโลกมิได้มีความหมาย เพียงแค่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่คำว่า โลกยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและมีนัยสำคัญอย่างน้อย 3 นัย ตามความหมายของโลกในความหมายที่ 3 คือสังขารโลกสัตวโลก และโอกาสโลกที่มีความหมายกว้างเช่นนี้ เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งสิ่งทั้งปวงในโลกด้วยญาณทัสสนะอันแม่นยำของพระพุทธองค์ ไม่มีสิ่งใดจะบดบังความรู้ของพระองค์ได้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงสามารถจำแนกแยกแยะความจริงในสิ่ง ทั้งปวงได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
จากความหมายของคำว่าโลกดังกล่าว นักศึกษาคงจะเข้าใจแล้วว่า เรื่องจักรวาลที่จะได้ศึกษานั้น จึงหมายถึงโอกาสโลก อันเป็นที่อาศัยของหมู่สัตว์ทั้งหลาย
ส่วนคำว่า โลก ในความหมายว่า ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในชมพูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้ ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของจักรวาล ซึ่งรายละเอียดเรื่ององค์ประกอบของจักรวาลเราจะศึกษาในบทต่อไป เมื่อนักศึกษาทราบความหมายของโลกอย่างนี้แล้ว นักศึกษาก็จะไม่สับ นอีกต่อไป
1.1.3 โลกนี้ โลกหน้า คือ อะไร
ศัพท์ที่นักศึกษาต้องทำความเข้าใจกันต่อไป คือ คำว่า โลกนี้ โลกหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเมื่อพบคำเหล่านี้ในเนื้อหา คำว่า โลกนี้ โลกหน้า เป็นคำที่มาจากพระไตรปิฎก ในปุพพังคสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิปาตเรื่องสัมมาทิฏฐิ เป็นหัวข้อธรรมแรก ในอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งหมายถึงความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิต มี 10 ประการ เรื่องโลกนี้ โลกหน้า เป็นหัวข้อหนึ่งในสัมมาทิฏฐินั้น ทั้งสองคำนี้ มักใช้ควบคู่กัน เพราะมีความหมายที่เกี่ยวเนื่องกัน
โลกนี้ หมายความว่า โลกทั้ง 3 คือสังขารโลกสัตวโลก และอากาสโลก ดังที่กล่าวไว้แล้ว ในความหมายของคำว่า โลก ซึ่งสามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า โลกนี้ คือสถานที่อยู่อาศัยของสัตวโลก รวมถึงร่างกายและจิตของตัวเรา และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
โลกนี้ เป็นโลกแห่งความแตกต่าง แต่ละคนล้วนมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ทางสังคมและเศรษฐกิจ สติปัญญา อุปนิสัย สรุปว่า มีความแตกต่างกันในทุกด้าน จากการ ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เราทราบที่มาของความแตกต่างเหล่านั้น คือ กรรมที่เราเคยกระทำไว้ในอดีต ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามส่งผลให้แต่ละคนเกิดมาแตกต่างกัน
โลกหน้า หรือที่เรียกว่า ปรโลก มีความหมาย 2 ประการ คือ
1. ชีวิตหลังความตาย
2. สถานที่สถิตของชีวิตหลังความตาย
1. ชีวิตหลังความตาย หมายความว่า ภาพร่างกายและจิตใจของสัตว์ที่เกิดในภพใหม่ เมื่อมนุษย์รวมทั้งสัตวโลกทั้งมวลตายแล้ว ไม่สูญไปไหน จะสูญสิ้นแต่เฉพาะร่างกายซึ่งถูกเผาหรือถูกฝัง ดินเท่านั้น ส่วนใจยังไม่สูญไป ตราบใดที่ใจยังมีกิเลส ก็จะต้องไปเกิด มีชีวิตอาศัยในร่างกายใหม่ต่อไปอีก
ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไร มีรูปร่างเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนเคยกระทำไว้
2. ถานที่สถิตของชีวิตหลังความตาย ภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่กรรมของ สัตว์ที่เกิดในภพนั้นๆ จะดีจะเลวขึ้นอยู่กับกรรมของสัตว์ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า เมื่อมีการถือกำเนิดของชีวิต ก็จำเป็นต้องมีสถานที่อยู่ จากประสบการณ์ในชาตินี้ เราสามารถพิจารณาได้ว่า ถ้าเราได้เกิดใหม่ เป็นคนในตระกูลมั่งคั่ง มีเกียรติยศชื่อเสียง เราพอจะคาดเดาได้ว่า เราจะมีสถานที่อยู่อาศัยอย่างสุขสบาย แต่ถ้าเกิดในครอบครัวที่ยากจน เราพอจะคาดเดาได้ว่า เราจะมีที่อยู่อย่างยากลำบาก ไม่สะดวกสบาย
เพราะฉะนั้น จึงพอสรุปได้ว่าเรื่องโลกหน้าเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน จะต้องไปเกิดในกำเนิดใด จะมีสถานที่อยู่เป็นอย่างไร แต่ที่ทราบแน่ชัด เราต้องไปเกิดใหม่ ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลส