1.2 ความเชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า

1.2 ความเชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า

             ความเชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า

    บุคคลในโลกนี้ มีความเชื่อที่หลากหลายตามท้องถิ่นที่อยู่อาศัย ตามวัฒนธรรม หรือตามคำสอน ของศาสนาที่ตนนับถือในแต่ละประเทศ ทำให้เกิดความคิด คำพูด และการกระทำที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ ความเชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ที่กำลังจะศึกษาอยู่นี้ มีบางคนไม่เชื่อว่า โลกนี้ โลกหน้ามีจริง ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ มีผลต่อความคิด คำพูด และการกระทำของบุคคลนั้น ความเชื่อเหล่านี้ ได้สืบทอดต่อกันมานานนับพันปี ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นเสียอีก หรือเมื่อพระองค์บังเกิดขึ้นแล้ว คำสอนเรื่องโลกนี้ โลกหน้าไม่มีก็ยังคงมีอยู่ และได้รับการปลูกฝังจากบรรดาเจ้าลัทธิ ศาสดาของศาสนาต่างๆ ไปยังเหล่าศิษย์ของตนอย่าง กว้างขวางต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันนี้ ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงอยู่

    ใน มัยพุทธกาล ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้แจ้งในสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง ทรงมองเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตวโลก ทำให้พระองค์ทรงทราบว่า ความเชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้าไม่มีนั้น เป็นความเห็นผิดจากกฎธรรมชาติที่พระองค์ทรงค้นพบ ความเห็นผิดนี้ เรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ

     ดังนั้น นักศึกษาจึงควรทำการศึกษาเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ให้เข้าใจเสียก่อนว่ามีจริงหรือไม่ ถ้าหาก ไม่เชื่อแล้วจะเกิดผลดี ผลเสียอย่างไร และถ้าเราไม่เชื่อว่า โลกนี้ โลกหน้ามีจริงแล้ว วิชาจักรวาลวิทยา จำเป็นต้องศึกษาหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องด้วยโลกนี้ และส่งผลไปยังโลกหน้า 

 1.2.1 การพิจารณาเหตุผลเรื่องโลกนี้ โลกหน้ามีจริงหรือไม่ 

การพิจารณาเหตุผลเรื่องโลกนี้ โลกหน้ามีจริงหรือไม่

     ความเชื่อเรื่องโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี เป็นความเชื่อดั้งเดิม ที่มีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว และยังคงจะมีต่อไป ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ว่ามีอยู่จริง พูดง่ายๆ คือ ตายแล้วไม่สูญ เป็นการยืนยันว่า ความดี ความชั่วที่ทำเอาไว้ไม่ได้จบสิ้นแค่เพียงชาตินี้ แต่ยังตามให้ผลไปข้ามชาติอีก

     โลกหน้ามีจริง เป็นการยืนยันว่า ตายแล้วต้องเกิด ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลสส่วนจะเกิดมาเป็นอะไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เรามีวิธีพิจารณาว่าโลกนี้ โลกหน้ามีจริงหรือไม่ ดังนี้

     กรณีที่ 1 เชื่อว่า โลกนี้ โลกหน้ามีจริง พิจารณาในลักษณะที่เป็นตรรกศาสตร์ 1

ถ้าหากว่าคนเราตายแล้วสูญ นั่นย่อมหมายความว่า การที่เราเกิดมาชาตินี้ก็น่าจะเป็นชาติแรก

เพราะชาติที่แล้วไม่มี หากเราเกิดมาชาติแรกจริง คนที่เป็นคู่แฝดกัน ก็น่าจะต้องเหมือนกันทุกประการทั้งรูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ เพราะมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน แต่ปรากฏว่าคลอดออกมาแล้วกลับไม่เหมือนกัน ถามว่าเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่เป็นพี่เป็นน้องกัน เกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน แต่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าเชื่อว่าชาติที่แล้วไม่มี ก็จะตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจนนัก

    แต่ถ้าเชื่อว่าชาติที่แล้วมี ถ้าอย่างนั้นก็สามารถตอบได้ว่า เป็นเพราะบุญและบาป ที่ตนกระทำไว้ในอดีตต่างกัน ดังพุทธพจน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับสุภมาณพ โตเทยยบุตร ถึงเหตุแห่งความเลวหรือประณีตที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลใน จูฬกัมมวิภังคสูตร 2 ว่า

"สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรมมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยกรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้"

 (1ตรรกศาสตร์ คือ ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยการคิดหาเหตุผลว่าจะ มเหตุ มผลหรือไม่)

(2 จูฬกัมมวิภังคสูตร , มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์. มก. เล่ม 23 ข้อ 581 หน้า 251.) 

     สรุปว่า คนที่เกิดมาแตกต่างกันนั้น เพราะอำนาจแห่งการกระทำด้วยกาย วาจา และใจ ของตนในอดีต ดังนั้นชาตินี้ แม้จะเกิดมาเป็นแฝดกัน มีพ่อแม่เดียวกัน จึงไม่เหมือนกันด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็แสดงได้ว่า โลกนี้มี โลกหน้ามีจริง

      กรณีที่ 2 ไม่เชื่อว่ามีจริง พิจารณาในลักษณะเป็นการป้องกันไว้ก่อน

      การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นถึงความมีโลกนี้และโลกหน้านั้น เพราะถ้าเชื่อว่าตายแล้วสููญ คนจะไม่ทำความดี หรือใช้ชีวิตให้สูญเปล่าไปกับเรื่องที่ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ทำให้เกิดกุศลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ในเมื่อตายแล้วสูญ เมื่อไม่ทำความดี แม้มีชีวิตอยู่ก็เดือดร้อน เพราะความชั่วที่ตนกระทำไว้ส่งผล

      สมมุติว่า ถ้าเชื่อว่าโลกนี้ โลกหน้าไม่มี คือ เชื่อว่าตายแล้วสูญจริง เมื่อเขาทำชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่เขาก็เดือดร้อน ถูกผู้รู้ติเตียนว่าเป็นคนชั่ว หรือถ้าโลกนี้ โลกหน้า มีจริง เมื่อตายแล้ว ก็ยิ่งเดือดร้อนกว่าต้องไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก มีทุกข์ทรมานมาก

        แต่ถ้าเชื่อว่าโลกนี้ โลกหน้ามี เขาก็จะตั้งใจทำความดี เมื่อมีชีวิตอยู่ก็มีความสุข

ตนเองก็ติเตียนตนเองไม่ได้ ผู้รู้ก็ รรเสริญว่าเป็นคนดี ตายไปแล้วถ้าโลกหน้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่เสียหายอะไรแต่ถ้ามีจริงก็จะได้รับผลเป็นความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

       การพิจารณาเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจพื้นฐานตรงกันเสียก่อนถ้านักศึกษามีความเชื่ออยู่แล้ว ก็จะได้ตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ต่อไป แต่ถ้าไม่เชื่ออย่างน้อยก็เป็นประโยชน์เพราะเชื่อแล้วไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใดมีแต่ได้รับประโยชน์ จะได้ศึกษาความจริง ของโลกและจักรวาลอีกทรรศนะหนึ่ง

1.2.2 ต้องเข้าใจหลักความจริงของชีวิตในโลกนี้ให้ถูกต้อง 

    นักศึกษาต้องเข้าใจหลักความจริงของสัตวโลกสังขารโลก และโอกาสโลกให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และมีความสุข โดยพิจารณาดังนี้

1. ชีวิตของสัตวโลกมีที่มา หมายความว่า รูปร่างหน้าตา ฐานะ ความเป็นอยู่สติปัญญา และนิสัย ของเราที่ได้มาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี พอใจหรือไม่พอใจก็ตาม เป็นผลมาจากกรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่เราทำไว้ในอดีตชาติเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง

2. โลกนี้ไม่แน่นอน คือ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่จีรังยั่งยืน ไม่คงที่ เช่น เกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์ ก็อาจจะกลายเป็นคนขี้โรคได้ ถ้าปัจจุบันไม่ระมัดระวังดูแลรักษาสุขภาพ

3. โลกนี้มีคุณ เพราะเป็นแหล่งสำหรับสร้างบุญกุศลอันประเสริฐ กล่าวคือสังขารร่างกายของ เราที่เป็นมนุษย์อย่างนี้เหมาะแก่การสร้างบุญกุศลหรือกรรมดีได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสังขารของสัตวโลกชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะมีเท้ามาก เท้าน้อย ไม่มีเท้า ไม่สามารถที่จะสร้างความดีได้สะดวกดังเช่นมนุษย์โอกาสโลกจึงเป็นแหล่งเดียวที่เหมาะสมแก่การสร้างความดี นอกจากนี้เรายังมีกัลยาณมิตร ตั้งแต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพื่อน ตลอดจนพระภิกษุคอยแนะนำ ซึ่งมีเฉพาะในโลกนี้เท่านั้น

4. โลกนี้มีเวลาจำกัด คือ เรามีความตายเป็นตัวจำกัดเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ ความตายเป็นสิ่งที่ แน่นอนสำหรับทุกคน แต่เวลาที่ตายของแต่ละคนไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมดีและกรรมชั่วที่แต่ละคนกระทำทั้งในอดีตและปัจจุบันชาติ

1.2.3 ประโยชน์ของความเข้าใจถูกในเรื่องโลกนี้ 

     ความรู้เรื่อง 4 ประการ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะช่วยให้เราเกิดสติปัญญาสอนตัวเองให้เลือกสร้าง กรรมในปัจจุบันได้ดีที่สุด กล่าวคือ

1. ทุกคนต้องรีบทำแต่กรรมดีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะการที่เกิดมามีโชคดีในชาตินี้ เนื่องจาก กรรมดีที่เคยทำไว้ในอดีตส่งผล ก็พึงระลึกเสมอว่าผลของกรรมดีนั้นมีวันสิ้นสุด จึงจำเป็นต้อง เร่งสร้างความดีใหม่อีก

2. ต้องไม่ก่อกรรมชั่วใหม่อย่างเด็ดขาด เพราะตระหนักถึงผลร้ายนานาชนิดที่จะติดตามมา ทั้งต่อตนเอง เพื่อนร่วมโลก และสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ

3. ต้องไม่อยู่เฉย โดยไม่สร้างกรรมดีอะไรเลย พึงระลึกไว้ว่าการอยู่เฉย นอกจากจะไม่ได้กำไร แล้วยังมีโอกาสขาดทุน บุญเก่าที่เคยสั่งสมไว้จะหมดสิ้นไป และสังขารเสื่อมลงทุกวัน โอกาสจะสร้างความดีใหม่นั้นเหลือน้อยเต็มที

4. ต้องใช้ร่างกายอันเป็นที่อาศัยของใจนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ หรือ ทุพพลภาพ โดยศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วเลือกปฏิบัติแต่กรรมดี แม้ว่าร่างกายจะ ทุพพลภาพ แต่ก็ยังสามารถที่จะใช้สร้างความดีได้

1.2.4 หลักการเตรียมความพร้อมอย่างถูกต้องสู่โลกหน้า 

 เมื่อเห็นคุณประโยชน์ของโลกนี้แล้ว นักศึกษาต้องเตรียมความพร้อมในการที่จะไปสู่โลกหน้า ได้อย่างปลอดภัยและมีชัยด้วย หลักในการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางไปสู่โลกหน้าได้อย่างปลอดภัยและมีชัย ประกอบด้วย หลักปฏิบัติที่สำคัญ 4 ประการ คือ

     1. มีศรัทธามั่นในเรื่องกรรม ต้องศึกษากฎแห่งกรรมให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะได้มี หิริ โอตตัปปะ เพราะว่าเราจะต้องพยายามละกรรมชั่วทั้งปวง จะต้องสร้างกรรมดีมากๆ เราจึงจะประสบความสุขอัน เป็นยอดปรารถนาของเรา

     2. ตั้งใจรักษาศีลอย่างเคร่งครัด อย่างน้อยศีล 5 ถ้าให้ดีศีล 8 ในบางโอกาสหรือตลอดชีวิตยิ่งดี เพราะนอกจากเป็นการสั่ง มบุญเพิ่มแล้ว ยังจะช่วยให้พฤติกรรมทางกาย วาจาสะอาด บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วย

     3. ตั้งใจให้ทานอย่างเต็มที่ เพราะคนเราเมื่อตายแล้ว ร่างกายย่อมเน่าเปอย ลายไป ไม่สามารถ นำไปได้ แต่สามารถนำทรัพย์ละเอียด คือ บุญ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำความดี ติดตัวไปในปรโลกได้

    4. ต้องเพิ่มพูนปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการทำภาวนา ทำใจให้หยุดให้นิ่ง จนเกิดความ ว่าง เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

     จากการศึกษาเรื่อง โลกนี้ โลกหน้า ที่ผ่านมา เราสามารถ รุปได้ว่าโลกนี้ โลกหน้ามีจริงตาม คำ สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเรื่องจักรวาลวิทยาที่กำลังศึกษาอยู่นี้ เราศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ เรื่องโลกนี้และโลกหน้าให้ซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น เป็นการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิของผู้ที่ศึกษาให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อศึกษาจนเข้าใจแล้ว จะทำให้เราใช้ประโยชน์จากการอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างคุ้มค่า มกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีเวลาจำกัด

Complete and Continue