7.2.1 ความประเสริฐของพระโสดาบัน (16:49)

ความประเสริฐของพระโสดาบัน

     การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้สมบูรณ์ที่สุดนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่อาลัยกับอดีตที่ผ่านพ้น ไม่ให้กังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยการสร้างความดี หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัย จะได้มีที่พึ่งที่ระลึกภายใน ชีวิตของเราก็จะปลอดภัย เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่แท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

                     "ปฐพฺยา เอกรชฺเชน   สคฺคสฺส คมเนน วา
                      สพฺพโลกาธิปจฺเจน   โสตาปตฺติผลํ วรํ

    โสดาปัตติผล ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน ประเสริฐกว่าการไปสู่สวรรค์ และความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง"

    ความประเสริฐของชีวิตวัดกันที่ความสูงส่งของจิตใจ จิตใจที่สูงส่ง หมายถึงใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ถูกยกระดับให้สูงขึ้นเหนือโลก เหนือสังสารวัฏอันยาวไกล ได้บรรลุธรรมาภิสมัย เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในซึ่งเป็นแก่นแท้ของชีวิต นั่นคือได้บรรลุธรรมกายกระทั่งได้เป็นพระอริยเจ้า ดังพุทธวจนะที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมากล่าวอ้าง เพราะเมื่อใครก็ตาม สามารถทำใจให้หยุดนิ่ง จนเข้าถึงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกายโสดาบัน ตัดสังโยชน์เบื้องตํ่า ๓ อย่างได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว จะเป็นผู้ไม่ตกตํ่าตลอดไป

    พระโสดาบันนอกจากจะไม่ตกต่ำ คือ ไม่ต้องไปเกิดในอบาย เพราะเป็นผู้ปิดประตูอบายได้อย่างเด็ดขาด ที่น่าปลื้มใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ถ้าไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะมีคติเที่ยงแท้ที่จะไปอุบัติเป็นเทวดาผู้มีศักดาใหญ่ รุ่งเรืองไปด้วยรัศมี มากไปด้วยบุญญาธิการ ประเสริฐกว่าเทวดาสามัญธรรมดา ได้อธิปไตยเสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนานมาก

    * ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุฌานสมาบัติ ภิกษุรูปนี้มีนามปรากฏว่า ติสสะ ต่อมาไม่นานท่านได้มรณภาพลงด้วยโรคประจำตัว แล้วไปอุบัติเป็นพรหมผู้วิเศษ มีรัศมีรุ่งเรือง สถิตอยู่ที่พรหมวิมานชั้นมหาพรหมในพรหมโลก ท่านติสสมหาพรหมผู้นี้ เป็นผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพรหมด้วยกัน และยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของเหล่าทวยเทพในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยดีงาม และได้เที่ยวทำความรู้จักกับบรรดาพรหมและเทวดาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ

    วันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นเลิศในด้านมีฤทธิ์ ได้เหาะขึ้นไปสำรวจดูสวรรค์ชั้นต่างๆ แล้วก็ใช้ฤทธานุภาพที่เกิดจากการเจริญอิทธิบาท ๔ จนชำนาญเป็นวสี เหาะมุ่งตรงไปยังพรหมวิมานของท่านติสสมหาพรหมด้วยกายเนื้อ โดยใช้เวลาเพียงชั่วเหยียดแขนออกและคู้แขนเข้าเท่านั้นเอง ครั้นติสสมหาพรหม อดีตติสสภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เห็นท่านพระเถระซึ่งอุตส่าห์มาเยือนถึงพรหมโลกด้วยอริยฤทธิ์เช่นนั้น ก็มีจิตยินดียิ่งนัก จึงทักทายด้วยสุรเสียงอันไพเราะก้องกังวานว่า

    “ขอพระเดชพระคุณผู้เป็นที่เคารพบูชาของข้าพเจ้า จงกรุณาเข้ามาเถิด นิมนต์เข้ามาภายในเถิด นิมนต์พระเดชพระคุณจงนั่งลงก่อนเถิด ข้าพเจ้ามีปีติยินดีที่พระเดชพระคุณผู้นิรทุกข์ได้กรุณามาเยี่ยม” ครั้นสดับคำอาราธนาของท่านติสสมหาพรหมแล้ว พระเถระจึงนั่งลง หลังจากที่ได้สนทนาปราศรัยกันในเรื่องต่างๆ พอสมควร พระมหาโมคคัลลานะถามขึ้นว่า “ดูก่อนท่านติสสมหาพรหม ในบรรดาเทวดาที่ท่านรู้จักมากมายนั้น เทวดาชั้นไหนหนอ ที่เป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้ไม่ตกต่ำ เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า”

    ท่านติสสมหาพรหมตอบว่า “ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ปวงเทพเจ้าที่ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลโสดาบันนั้น สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาก็มี ชั้นดาวดึงส์ก็มี ชั้นยามาก็มี ชั้นดุสิตก็มี ชั้นนิมมานรดีก็มี ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีก็มี เทวดาพระโสดาบันอริยบุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ไม่ตกต่ำ เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า” พระเถระไต่ถามต่อไปว่า “ท่านติสสมหาพรหม จะมีที่สังเกตรู้ได้อย่างไรว่า เทวดาเหล่าใดเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล และเทวดาเหล่าใดไม่ใช่พระโสดาบันอริยบุคคล”

    ท่านติสสมหาพรหม ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในหมู่เทวดาและหมู่พรหมทั้งหลาย ตอบว่า “ข้าแต่พระเดชพระคุณผู้นิรทุกข์ มีที่สังเกตกำหนดหมายได้อย่างเดียว คือ หากทวยเทพเหล่าใด มีใจไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ และไม่ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ เทวดาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เป็นเทวดาโสดาบันอริยบุคคล

    ส่วนเทพเหล่าใด เป็นผู้มีใจประกอบไปด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ และเป็นผู้ประกอบไปด้วยศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ เทพเหล่านั้นพึงทราบได้ว่า เป็นเทพโสดาบันอริยบุคคล เป็นผู้ไม่ตกต่ำ เป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ข้าพเจ้าสังเกตรู้ได้เช่นนี้ พระเดชพระคุณ” พระเถระฟังดังนั้น ก็กล่าวอนุโมทนา และชมเชยว่าตอบได้ถูกต้องแล้ว จากนั้นก็อำลามหาพรหม กลับมามนุษยโลกเพื่อบำเพ็ญสมณกิจตามปกติ

    นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของเทวดาผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระโสดาบัน แม้ว่าท่านจะละโลกไปแล้ว ด้วยความสว่างไสวของพระธรรมกายภายใน ถึงจะไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ ท่านเหล่านี้ก็ยังมีความเคารพศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ยังคงรักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์เหมือนเดิม และตลอดการเวียนว่ายตายเกิดของท่าน จะมีเพียงสุคติภูมิเป็นที่ไปอย่างเดียว ซึ่งชีวิตในสังสารวัฏของพระโสดาบันแต่ละท่านอาจสั้นยาวไม่เท่ากัน แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ

  • ประเภทที่ ๑ เอกพีชีโสดาบัน จะเกิดอีกเพียงชาติเดียว เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อการไปเสวยวิมุตติสุขในอายตนนิพพานมากที่สุด เพราะเมื่อมาเกิดแล้ว ลงมือปฏิบัติธรรมก็จะได้บรรลุอรหัตผล สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในบวรพระพุทธศาสนา
  • ประเภทที่ ๒ ท่านใช้คำว่า โกลังโกละ เป็นพระอริยบุคคลที่มีความวิเศษรองลงมา คือ จะมาเกิดอีกเพียง ๒-๓ ชาติเท่านั้น แล้วจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
  • ประเภทที่ ๓ คือ สัตตักขัตตุปรมะ หมายถึง พระโสดาบันผู้จะเวียนว่ายในสังสารวัฏเฉพาะในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะได้บรรลุอรหัตผล ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    การที่พระโสดาบัน แบ่งเป็น ๓ ประเภท ดังกล่าวมานี้ เพราะการเจริญวิปัสสนา การสั่งสมบุญบารมี อีกทั้งอินทรีย์ที่ท่านอบรมมาแตกต่างกัน คือ ท่านที่สร้างบารมีมาอย่างแก่กล้า พอมาในภพชาตินี้ เมื่ออินทรีย์ทั้ง ๕ อย่าง คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ(Meditation) และปัญญา ถึงความแก่รอบสมํ่าเสมอกัน ก็สามารถบรรลุมรรคผลได้อย่างรวดเร็ว พระโสดาบันประเภทนี้เป็นเอกพีชี คือเกิดอีกชาติเดียวเท่านั้นก็จะถึงฝั่งนิพพาน ถ้าสร้างบารมีแบบไปเรื่อยๆ ก็ช้าลงมาตามลำดับ แต่ก็ถือว่าแต่ละประเภทได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว

    พวกเรายังคงต้องเวียนตายเวียนเกิด เพื่อสร้างบารมีอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน เบื้องปลายอยู่ตรงไหนยากจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว ขออย่าได้ประมาทในชีวิต แม้จะเวียนวนก็ให้วนอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียวเท่านั้น คือมนุษย์และเทวโลก สิ่งที่จะรับประกันความปลอดภัยของตัวเราได้ในปัจจุบันก็คือ ต้องทุ่มเทสร้างบารมีให้เต็มที่ เต็มกำลัง และต้องหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายในของเราให้ได้ทุกๆ คน

Complete and Continue