2.6 ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2.6 ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ภัทรกัป ซึ่งถือว่าเป็นมหากัปที่เจริญที่สุดและเกิดขึ้นได้ยากที่สุด โดยจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นบนโลกมากที่สุดถึง 5-พระองค์ ซึ่งในกัปนี้ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาบนโลกไปแล้วถึง 4 พระองค์ได้แก่

1.พระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้

2.พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สองของภัทรกัปนี้

3.พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สามของภัทรกัปนี้  

4.พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สี่ของภัทรกัปนี้

 สำหรับในยุคปัจจุบัน เราท่านผู้มีบุญทั้งหลายกำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงอันตรกัปที่12 และในอนาคตกาลอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ (กล่าวคือ...อีกเพียงอสงไขยปีเศษ) พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาบังเกิดบนโลก ในช่วงอันตรกัปที่ 13 ซึ่งถือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ห้า หรือพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ และด้วยความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงสั่งสมบารมีมาไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้...จึงสามารถแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นสามประเภท ซึ่งพระพุทธเจ้าแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน

ประเภทแรก เรียกว่า พระปัญญาธิกพุทธเจ้า

หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีโดยมีพระปัญญาอันแก่กล้า กล่าวคือ พระองค์ทรงมุ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้นำพาพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย (ซึ่งมีอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก) เข้าสู่พระนิพพาน สำหรับพระปัญญาธิกพุทธเจ้านั้น พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป ถ้าจะให้แบ่งระยะเวลาในการสั่งสมบารมีของพระปัญญาธิกพุทธเจ้า สามารถแบ่งได้เป็นสามระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับมีพระดำริ หรือทรงตั้งความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ในพระทัย โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีราว 7 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 2.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับทรงเปล่งพระวาจา หรือทรงตรัสบอกถึงความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับบุคคลอื่นๆได้รับรู้ นอกจากนี้...ยังเป็นช่วงที่พระองค์กำลังทรงสั่งสมบารมีให้แก่รอบยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีก 9 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 3.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี จนได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่า “ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า พระองค์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อย่างแน่นอน”-สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีกถึง 4-อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป


ประเภทที่สอง เรียกว่า พระสัทธาธิกพุทธเจ้า

       หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีโดยมีพระศรัทธาอันแก่กล้า กล่าวคือ พระองค์ทรงมีความปรารถนาที่จะยืดเวลาในการเข้าพระนิพพานออกไปอีก เพื่อจะได้มีเวลาในการสั่งสมบารมีให้แก่กล้ายิ่งๆขึ้นไป และจะได้มีโอกาสรวบรวมพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย (ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก) เข้าสู่พระนิพพานได้ทีละมากๆ สำหรับพระสัทธาธิกพุทธเจ้านั้น พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีทั้งหมด 40-อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป

 ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีของพระสัทธาธิกพุทธเจ้า สามารถแบ่งได้เป็นสามระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับมีพระดำริ หรือทรงตั้งความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ในพระทัย โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีราว 14 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 2.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับทรงเปล่งพระวาจา หรือทรงตรัสบอกถึงความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับบุคคลอื่นๆได้รับรู้ นอกจากนี้...ยังเป็นช่วงที่พระองค์กำลังทรงสั่งสมบารมีให้แก่รอบยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีก 18 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 3.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี จนได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่า “ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า พระองค์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน”-สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีกถึง 8-อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป


ประเภท ที่ 3 “พระวิริยาธิกพุทธเจ้า”

       หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีโดยมีพระวิริยะหรือมีความเพียรอันแก่กล้า กล่าวคือ พระองค์ทรงมีความปรารถนาที่จะนำพาพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย เข้าสู่พระนิพพานให้ได้มากที่สุดเท่าที่พระองค์จะทำได้ แม้ว่าพระองค์จะต้องใช้ความเพียร ความอดทน และจะต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมบารมียาวนานมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงยินดีที่จะทำ สำหรับพระวิริยาธิกพุทธเจ้านั้น พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีทั้งหมดถึง 80-อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป เลยทีเดียว

ระยะเวลาในการสั่งสมบารมีของพระวิริยาธิกพุทธเจ้า สามารถแบ่งได้เป็นสามระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับมีพระดำริ หรือทรงตั้งความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ในพระทัย โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากบอกใคร สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีราว 28 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 2.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี พร้อมกับทรงเปล่งพระวาจา หรือทรงตรัสบอกถึงความปรารถนาในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับบุคคลอื่นๆได้รับรู้ เพราะเมื่อพระองค์ทรงสั่งสมบารมีจนมาถึงจุดนี้ ความอาจหาญร่าเริงในมโนปณิธานแห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระองค์ ก็จะอัดแน่นและเต็มเปี่ยมอยู่ภายในใจ จนทำให้พระองค์ต้องเปล่งวาจาให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่พระองค์กำลังทรงสั่งสมบารมีให้แก่รอบยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วย สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีก 36 อสงไขยมหากัป

ระยะที่ 3.เป็นช่วงระยะเวลาที่พระองค์ทรงสั่งสมบารมี จนได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งแรกว่า “ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า พระองค์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน”-สำหรับระยะเวลาในการสั่งสมบารมีในช่วงนี้ พระองค์จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มบารมีอีกถึง 16-อสงไขยมหากัป กับเศษอีกแสนมหากัป

ซึ่งในส่วนของพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงจัดอยู่ในประเภท พระวิริยาธิกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระวิริยะ หรือมีความเพียรอันแก่กล้านั่นเอง

 



Complete and Continue