1.1.ชีวประวัติพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

ชีวประวัติพระมงคลเทพมุนี

ชีวิตในปฐมวัย

      พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺท โร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านมีชื่อเดิมว่า สด เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันแรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก

ภาพที่ 2 แผ่นดินใบบัวบ้านเกิดหลวงปู่วัดปากน้ำ

ณ หมู่บ้านเหนือ ฝังตรงข้าม วัดสองพี่น้อง ตำบล สองพี่น้อง อำเภอ สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี

ภาพที่ 3 โยมแม่ชื่อสุดใจ มีแก้วน้อย

โยมพ่อชื่อเงิน แซ่จิ๋ว โยมแม่ชื่อสุดใจ มีแก้วน้อย ครอบครัวของท่านเป็นคหบดี ทำการค้าในคลอง สองพี่น้อง และอำเภอใกล้เคียง ท่านมีพี่น้อง ร่วมบิดามารดา รวม 5 คน คือ

1. นางดา เจริญเรือง

2. พระมงคลเทพมุนี ( สด มีแก้วน้อย)

3. นายใส มีแก้วน้อย

4. เด็กชายผูก มีแก้วน้อย (เสียชีวิต เมื่ออายุ 1 ขวบ)

5. นายสำรวย มีแก้วน้อย

เมื่อแรกเกิดมีความอดทนเป็นเลิศ

หลวงปู่เล่าเรื่องในวัยเด็กของท่านว่า โยมแม่บอกว่าตอนเกิด ท่านไม่ร้องสักแอะ ไม่เหมือนกับ เด็กทั่วไป เมื่อแรกเกิดต้องร้องทุกคน บางคนเชื่อว่าเด็กเกิดมาไม่ร้อง ต้องเป็นใบ้แน่ๆ แต่เมื่อถึงกำหนด อายุที่จะพูด ท่านก็พูดได้เป็นปกติ การที่ท่านไม่ร้องเมื่อแรกเกิดไม่ได้แสดงว่าท่านจะเป็นใบ้ แต่แสดงถึง คุณลักษณะประการหนึ่งของผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ของชาวโลกในวันข้างหน้า คือ ความอดทน

      การเกิดนั้นเป็นทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่ยากที่ใครจะอดทนได้ เป็นความทุกข์ทรมานขนาดที่ทำให้ ทารกแรกเกิดลืมเหตุการณ์ในภพชาติก่อนๆ ของตนได้หมดสิ้นทีเดียว

ทารกเมื่อแรกปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น ต้องอยู่ในที่คับแคบมาก ใต้กระเพาะอาหาร เหนือลำไส้ ท่ามกลางหน้าท้องและกระดูกสันหลัง อยู่ในที่มืดสนิท จะขยับเคลื่อนไหวกาย คู้หรือเหยียดอวัยวะก็ทำ ไม่ได้ ต้องนอนคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดา ทนทุกข์ทรมานตลอด 10 เดือน1 แม้จะพบกับความทุกข์ถึงขนาดนั้น ท่านก็ยังมีขันติอดทน ทั้งนี้เพราะบุญบารมีที่ท่านได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

ภาพที่ 4 สอนตัวเองได้แต่เด็ก

สอนตัวเองได้ตั้งแต่เล็ก

      สมัยที่หลวงปู่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ช่วงที่ยังไม่อดนม ก่อนที่โยมแม่จะออกไปขายข้าวนอกบ้าน จะเอาท่านใส่เปลไว้ที่บ้าน แล้วเอาข้าวเย็นปันเป็นก้อนให้ท่านดูดเล่นแก้หิว ในขณะนั้นท่านรู้เรื่อง โดยตลอด และได้ สอนตัวเองว่า "ตอนนี้เราอย่าเพิ่งหิวเลยนะ อย่าเพิ่งไปกวนแม่เลย ดูดข้าวก้อนนี้ แทนข้าวเย็นไปก่อน" ท่าน สอนตัวเองได้ตั้งแต่ยังไม่อดนม การสอนตัวเองได้ ก็เป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นครูบา อาจารย์ คอยอบรมสั่งสอนผู้อื่นอีกประการหนึ่ง

ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์

      ในช่วงวัยเด็ก พระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านเป็นเด็กน่ารัก ไปบ้านไหนมักจะมีคนมาขออุ้ม อุ้มแล้ว ก็หอมแก้มท่านเล่น เวลาถูกหอมแก้มทีไร ท่านสะดุ้งทุกที ท่านไม่ต้องการให้ผู้หญิงถูกเนื้อต้องตัวตั้งแต่ ยังเด็ก และคอยระวังอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าท่านไม่มีความยินดีในเพศตรงข้ามตั้งแต่เยาว์วัย และมี อุปนิสัยยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์มาข้ามภพข้ามชาติ

มีใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง

      หลวงปู่เป็นผู้มีใจคอเด็ดเดี่ยวมั่นคง เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้ว จะพยายามทำให้สำเร็จ ถ้ายังไม่สำเร็จ จะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด ตั้งแต่ สมัยที่บ้านของท่านยังทำนาและค้าข้าว ท่านมักจะช่วยโยมพ่อโยมแม่เลี้ยงวัว เมื่อวัวพลัดหลงเข้าไปในฝูงวัวของคนอื่น ท่านจะไปตามวัวกลับมาจนได้ ไม่ว่าวัวจะหลงไปทางไหน หรือจะ ต้องตามจนมืดค่ำเพียงใด ถ้าไม่ได้วัวมา จะไม่ยอมกลับ

 ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย

      ปกติท่านจะช่วยโยมพ่อพายเรือค้าข้าว วันหนึ่งพอผ่านไปถึงศาลเจ้าที่ใครๆ ก็ว่าเฮี้ยนมาก ใคร ผ่านไป จะต้องเอาของไปเซ่นไหว้ แต่หลวงปู่ท่านคิดว่า "นี่ไม่ใช่พระรัตนตรัย ทำไมต้องไหว้ เราไม่เซ่น เราไม่ไหว้" วันหนึ่งเมื่อเรือผ่านศาลเจ้า ท่านรู้สึกแน่นท้องขึ้นมาทันที แต่ท่านก็อดทนไม่ยอมแพ้ เพราะคิดว่า "มันของของเราแท้ๆ นี่ เรื่องอะไรจะต้องเอาไปเซ่น เอาไปไหว้ ทำแล้วก็ไม่ได้บุญ บีบได้บีบไป จุก ได้จุกไป เดี๋ยวมันก็หายจุก" ซึ่งครั้งนั้นท่านมีความคิดว่าสักวันหนึ่งถ้าเข้าถึงพระรัตนตรัย จะกลับไป ที่ศาลเจ้านั้น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าพระรัตนตรัยเข้าถึงได้อย่างไร แต่จิตใต้สำนึกของท่านบอกอย่างนี้

ภาพที่ 5 มีเมตตาของหลวงปู่

มีเมตตา

      โยมพี่สาว ของท่านเล่าว่า ตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็ก เมื่อออกไปไถนา ท่านจะคอยสังเกตดวงตะวัน ว่า ใกล้เวลาเพลแล้วหรือยัง เมื่อพี่สาวของท่านเห็น ก็จะตำหนิท่านว่า เกียจคร้าน คอยดูแต่ว่าเมื่อไรจะ ถึงเวลาเลิกงาน แต่ความจริงแล้วท่านถือคติของคนโบราณที่ว่า การไถนาจนถึงเวลาตีกลองเพล (11.00 น.) ซึ่งเรียกว่า "เพลคาบ่าวัว" ถือว่าบาปมาก ท่านจึงไม่อยากจะใช้แรงงานวัวจนเลยเพล นี่เป็นความเมตตา ของท่านที่มีต่อสัตว์ หลังจากเลิกไถนาแล้ว ท่านจะนำวัวไปอาบน้ำจนเย็นสบาย แล้วจึงปล่อยให้ไปกินหญ้าเป็นอิสระ ตามใจชอบ ถ้าได้ทำอย่างนี้ท่านจะรู้สึกสบายใจ และมักจะร้องเพลงไปด้วย เนื้อหาของเพลงมักจะวนเวียน อยู่กับพระนิพพานดังนี้ "เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำอะไร อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่ หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สาม เรื่อยไป เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้" ใจกว้างเลี้ยงลูกน้อง ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีอาชีพขายข้าวอยู่ วันหนึ่งมีเด็กผู้หญิงพายเรือมาขายขนม เมื่อพายเรือมาใกล้ ก็ร้องขอให้ท่านช่วยซื้อ ปรากฏว่าวันนั้นท่านเหมาซื้อขนมทั้งลำเรือเลย เพื่อเลี้ยงลูกน้อง ตั้งแต่นั้นมาหาก มีขนมเหลือจากการขาย เด็กผู้หญิงคนนั้นก็จะแวะมาขายขนมให้ท่านช่วยเหมาอยู่เป็นประจำ นี่นับเป็น

ความใจกว้างของท่านส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือ เด็กหญิงท้วม หุตานุกรม เมื่อโตขึ้นและเรียนจบ พยาบาลแล้วก็ออกบวชอยู่ธุดงค์ในป่า หลังจากนั้นได้มาเป็นแม่ชี2อยู่ในวัดปากน้ำ คอยดูแลเรื่องอาหารใน โรงครัวจนตลอดชีวิต

ภาพที่ 6 การศึกษาในวัยเด็ก

การศึกษาในวัยเด็ก

      ท่านช่วยโยมของท่านทำงานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนอายุได้ประมาณ 9 ปี โยมแม่ของท่านได้ส่งให้ ไปเรียนหนังสือกับน้าชาย1 ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัด สองพี่น้อง เริ่มต้นเรียนจากหนังสือ ปฐม ก กา ตามหลักสูตรการศึกษาใน สมัยนั้น ต่อมาไม่นานพระน้าชายได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดหัวโพธิ์ ตำบลหัวโพธิ์ อำเภอ สองพี่น้อง ท่านได้ตามไปเรียนหนังสือต่อที่นั่นด้วยประมาณ 78 เดือน จากนั้นพระน้าชายก็ย้ายไป จำพรรษาที่วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี แล้วจึงลาสิกขาส่วนท่านไปเรียนต่อที่วัดบางปลา2 อำเภอบางเลน จังหวัด นครปฐม กับพระอาจารย์ทรัพย์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ขณะนั้นท่านอายุได้ 11 ปี นอกจากท่านจะเขียนอักษรขอมได้แล้ว ยังสามารถอ่านหนังสือพระมาลัย3 ซึ่งเขียนเป็นอักษร ขอมได้คล่อง ท่านตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนดี เพราะเป็นคนมีนิสัยทำอะไรทำจริงมาตั้งแต่เล็กๆ ท่านใช้ เวลาเรียนอยู่ที่นั่น 2 ปี จึงกลับไปช่วยโยมพ่อโยมแม่ค้าข้าวที่บ้านเกิดตามเดิม

ภาพที่ 7 พระอาจารย์ทรัพย์ วัดบางปลา

ขยันประกอบสัมมาอาชีพ

      เมื่อกลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 1 ปี (ขณะนั้นอายุ 14 ปี) โยมพ่อได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงดูแล การค้าแทน มีเรือบรรทุกข้าวข้างกระดานใหญ่ 2 ลำ และลูกเรืออีกหลายคน ล่องเรือค้าข้าวระหว่าง อำเภอ สองพี่น้องกับกรุงเทพฯ เดือนละ 23 ครั้ง โดยซื้อข้าวมาขายให้กับโรงสีที่กรุงเทพฯ บ้าง ที่อำเภอนครไชยศรีบ้าง ท่านเป็นคนมีฐานะดีเพราะขยันและซื่อสัตย์ในการค้าขาย จึงเป็นเหตุให้ได้รับความไว้วางใจมาก ตัวอย่างเช่น การซื้อข้าวไปขาย เมื่อตกลงราคากันได้แล้ว ท่านก็สามารถขนข้าวลงเรือไปขายก่อน หลังจาก ขายข้าวได้เงินมาแล้ว จึงนำเงินมาจ่ายให้ทีหลัง

มีปัญญาเฉลียวฉลาด

      ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านล่องเรือไปค้าข้าวที่กรุงเทพฯ พร้อมกับลูกเรือ ขณะที่จอดเรืออยู่ในคลอง บางกอกน้อย ลูกจ้างของพี่เขยคนหนึ่งขโมยเงินและทองไป รวมมูลค่าประมาณ 1,000 บาทเศษ ( สมัยนั้น เงิน 50 ตางค์ ซื้อกล้วยได้ 100 หวี) ท่านจึงไปแจ้งความกับตำรวจ พอตกเย็นตำรวจ 4 นาย ได้นำ เรือกลไฟมารับ เพื่อไปบ้านของภรรยาคนร้ายที่คลอง 12 ท่านกับตำรวจได้ออกติดตามไปตลอดทั้งคืนไม่ได้หยุด โดยตั้งใจว่าหากยังจับคนร้ายไม่ได้ก็จะ ไม่ยอมกลับ พอรุ่งสางก็ถึงบ้านภรรยาคนร้าย ท่านเห็นคนร้ายโผล่มาทางหน้าต่างหลังบ้าน จึงบอกให้ตำรวจรู้ คนร้ายเมื่อเห็นเรือ จึงรีบกระโจนออกจากบ้านไป กว่าเรือจะชะลอฝีจักรกลับลำมาหยุดตรงหน้าบ้าน คนร้าย ก็หายไปแล้ว ท่านสังเกตเห็นฟองน้ำแตกเป็นทาง จึงบอกให้ตำรวจทั้ง 4 นาย ไปยืนคุมอยู่ที่มุมคันนา ส่วนท่านตามคนร้ายไปตามรอยนั้น เมื่อตามไปถึงกลางคันนา เห็นคนร้ายหลบอยู่ในซังข้าว พอเข้าไปใกล้ คนร้ายก็ดำน้ำหนี แต่หนี ไม่พ้น ถูกตำรวจช่วยกันจับไว้ทัน ตำรวจจึงใส่กุญแจมือไว้พาคนร้ายกลับมาที่บ้านภรรยา เพื่อให้บอก ที่ซ่อนเงินที่ขโมยมา ก็พบเงินซ่อนอยู่ในกระบุงข้าวเปลือกจำนวน 900 บาทเศษ เมื่อได้เงินคืนแล้ว จึงล่องเรือกลับกรุงเทพฯ หลังจากให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จแล้ว ตำรวจจึงนำเรือมาส่งท่านที่เรือ ข้าวที่คลองบางกอกน้อย

Complete and Continue