2.วิธีการสร้างให้มีวิริยะในการฝึกสมาธิ

วิริยะ

วิริยะ[1] โดยคำศัพท์แล้วมาจากคำว่า วีระ แปลว่า กล้า คือ มีความอาจหาญ แกล้วกล้าที่จะผจญกับอุปสรรคทุกชนิด ด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย ไม่กลัวอุปสรรค เห็นอุปสรรคแล้ว มีความรู้สึกเหมือนทารกเห็นขนม หรือเห็นอุปสรรคต่างๆ แล้วมีความรู้สึกเหมือนทารกเห็นไอศกรีม เห็นช็อคโกแลต เห็นแล้วก็อยากจะกิน อยากจะลิ้มลอง อยากจะพิสูจน์ วิริยะเมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว จะทำให้มีความขยันหมั่นเพียร และความพากเพียรบากบั่นในการทำงานนั้นๆ ไม่ยอมแพ้ต่อความเกียจคร้าน ความขี้เกียจ ความเฉื่อยชา ซึมเซา คือ บางทีขี้เกียจ อยากจะพัก อยากจะนอน อยากจะเล่น แต่ก็ไม่ยอมแพ้ต่อความอยากเหล่านั้น ไม่ขี้เกียจแข็งใจสู้ ต้องทำไปไม่ยอมแพ้นี่ คือ วิริยะ 

        วิริยะมีความสำคัญต่อการทำงานทางใจ คือ จะให้สำเร็จได้ต้องมีวิริยะ ความพากเพียร หากเพียงแต่นั่งนึกอย่างเดียวไม่สำเร็จ ต้องลงมือทำถึงจะสำเร็จ ถ้าคิดแล้วไม่ทำ ก็เป็นการสร้างวิมานในอากาศ คิดแล้วต้องทำงานทางใจ ถึงจะสำเร็จได้ ถ้าเรามีวิริยะ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นอย่างเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

        1.2.1 วิริยะในการปฏิบัติสมาธิ วิริยะในการทำสมาธินั้น พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า[2]บากบั่น ท่านได้ขยายความว่า ต้องบากบั่นพากเพียรอย่างเอาจริงเอาจัง  

        หลวงพ่อธัมมชโยได้ขยายความวิริยะไว้ว่า[3]  ขยันนั่งขยันทำใจหยุดนิ่ง ไม่ว่ามีเวลา 1 หรือ 2 นาที ก็ฝึกไปเรื่อย ๆ ทำอย่างไรจะปล้ำใจ ให้มันหยุดนิ่งอยู่ภายใน ไม่ว่าจะมีเวลา 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที ในรถในเรือ ที่ไหนก็แล้วแต่ บนเครื่องบิน ห้องน้ำ ห้องท่า ทำหมดฝึกไปเรื่อยๆ ฝึกตั้งแต่ยังคุ่มๆ ค่ำๆ นึกอะไรไม่ออก ใจยังฟุ้งซ่านอยู่ก็จะค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ นี่ความขยันมาแล้ว พอความขยันมา ใจก็จดจ่อ ขบวนที่ 3 ก็ตามมาŽ

        1.2.2 วิริยะ 3 ระดับ เราสามารถจัดแบ่งวิริยะได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้ คือ

        1.2.2.1 วิริยะระดับเบื้องต้น คือ การเริ่มต้นทำสมาธิ ตั้งแต่เริ่มนั่งบ้าง ไม่นั่งบ้าง แต่ก็เริ่มต้นด้วยการกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยการนั่งทีละน้อย และกล้าที่จะทำให้ตัวเองก้าวหน้าในการทำความดี ด้วยการทำสมาธิ

        1.2.2.2 วิริยะระดับกลาง เป็นการนั่งสมาธิทุกวันไม่ขาด นั่งเรื่อยๆ แต่จะเข้าถึงเมื่อไหร่นั้น ก็เป็นเรื่องของใจ แต่มีความเพียรทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นความกล้าที่เพิ่มขึ้นในการทำ จะทำความดีอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง ผู้ที่ทำได้อย่างนี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ต้องได้บรรลุแน่นอน

        1.2.2.3 วิริยะระดับสูง คือ การทำสมาธิอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตั้งมั่นว่าเมื่อนั่งลงไปแล้ว หากไม่ได้ ก็ยอมตายกันทีเดียว ในทางพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นปรมัตถบารมี ถ้าไม่ได้ยอมตาย เป็นการนั่งทำความเพียรแบบเด็ดขาด เรียกว่า”ไม่ได้ตายเถิด” การนั่งแบบนี้จะขึ้นอยู่กับบารมีของตน บางคนก็ตายจริง บางคนก็ไม่ตาย แต่ถึงแม้จะตาย ยังทำไม่ได้ในภพนี้ ก็จะไปได้ในชาติหน้า

         ตัวอย่างของบุคคลผู้มีความเพียรอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งในที่นี้จะขอยกกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ ดังต่อไปนี้

        เรื่องของภิกษุ 7 รูป ในอดีตเล่ากันมาว่า ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้หลอกลวง ทรงแนะนำเวไนยสัตว์ แล้วเสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก ครั้นเมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว เมื่อศาสนธรรมกำลังจะสูญสิ้นอันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พากันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้าคร่ำครวญว่า ดวงตา คือ พระธรรมจะดับแล้ว เราจะไม่ได้เห็นท่านผู้มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจะไม่ได้ฟังพระสัทธรรม โอหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย ครั้งนั้น พื้นปฐพีทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสั่นสะเทือน สาครสมุทร ดุจเหือดแห้ง แม่น้ำครวญครางน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่ว 4 ทิศ อสนีบาตอันน่ากลัว ตกลงโดยรอบ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่งเปลวไฟ มีควันพวยพุ่ง หมู่สัตว์ร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร

         ในขณะนั้นมีภิกษุ 7 รูป เห็นเหตุการณ์เหล่านั้น เกิดความสลดใจ คิดว่า ความอันตรธานแห่งพระศาสนายังไม่มีเพียงใด พวกเราจะกระทำที่พึ่งแก่ตนเพียงนั้น ไหว้พระเจดีย์ทองคำแล้ว เข้าไปสู่ป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงกล่าวว่า ผู้มีอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้ พาดบันไดแล้วแม้ทั้งหมดขึ้นสู่ภูเขานั้น ผลักบันไดทิ้งแล้วกระทำสมณธรรม

        บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น พระเถระนั้น เคี้ยวไม้ชำระฟันชื่อนาคลดาในสระอโนดาต นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป แล้วกล่าวกับภิกษุเหล่านั้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านเคี้ยวไม้ชำระฟันนี้ บ้วนปากแล้ว จงฉันบิณฑบาตนี้

        ภิกษุ ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากันไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุใดบรรลุพระอรหัตก่อน ภิกษุทั้งหลาย ที่เหลือ จะฉันบิณฑบาตที่ภิกษุนั้นนำมาหรือ

        พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ ข้อนั้นไม่มีเลย ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น แม้พวกเราจะยังคุณวิเศษให้เกิดเหมือนท่าน แล้วจะนำอาหารมาบริโภคเอง ดังนี้แล้วก็ไม่รับ

        ในวันที่ 2 พระเถระองค์ที่ 2 บรรลุอนาคามิผล พระเถระนั้นนำบิณฑบาตมาแล้ว ก็นิมนต์ภิกษุรูปอื่น ให้ฉันอย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ก็พวกเราทำกติกากันไว้อย่างนี้ว่า พวกเราจะไม่บริโภคบิณฑบาตที่พระมหาเถระนำมา แต่จะบริโภคบิณฑบาตที่พระอนุเถระนำมาหรือ

        พระเถระองค์ที่ 2 กล่าวว่า  ผู้มีอายุข้อนั้นไม่มีเลย ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเรายังคุณวิเศษให้เกิดเหมือนท่านแล้ว อาจเพื่อบริโภคด้วยความเพียรแห่งบุรุษของตนได้ จึงจะบริโภค ดังนี้แล้วก็ไม่รับ

        บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตปรินิพพานแล้ว ภิกษุผู้เป็นอนาคามีบังเกิดในพรหมโลก ภิกษุอีก 5 รูปไม่อาจยังคุณวิเศษให้บังเกิดได้ ผ่ายผอมแล้ว มรณภาพ ในวันที่ 7 บังเกิดในเทวโลก ในสมัย ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ จุติ (ตาย) แปลว่า เคลื่อนจากเทวโลกนั้นแล้ว เกิดในตระกูลต่างๆ

        เมื่อได้มาเกิดในภพสุดท้าย ภิกษุรูปหนึ่งได้เป็นพระราชา พระนามว่า ปุกกุสาติ ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการพบกันครั้งแรก ก็ได้เป็นพระอนาคามี มรณภาพแล้วได้ไปสู่พรหมโลก

        ท่านที่เหลือ ได้เกิดมาเป็นพระกุมารกัสสปะ พระทารุจีริยะ พระทัพพมัลลบุตร พระสภิยะ ทั้ง 4 องค์ ได้เป็นพระอรหันต์ โดยการฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

        จากข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า การทำความเพียรแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ได้ผลเร็วเห็นทันตา แต่ต้องใช้ความเพียรอย่างสูงจึงจะทำได้ ดังนั้นในประวัติศาสตร์ จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ ในยุคของเราก็มีพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่เป็นตัวอย่างแก่เรา

           1.2.3 วิธีการสร้างให้มีความวิริยะ เราต้องป้องกันศัตรูตัวร้ายที่มาทำร้ายวิริยะ คืออบายมุข ทั้งการดื่มเหล้า การเที่ยวเตร่เฮฮา การสูบบุหรี่ ความเจ้าชู้ คบคนไม่ดี ความเกียจคร้านต่างๆ ใครเคยดื่มเหล้าหัวราน้ำ ต้องเพลา ต้องเลิกต้องงด ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เสียสุขภาพ เมื่อสุขภาพไม่ดี พอถึงเวลาทำงาน ก็ไม่อยากทำ ดื่มเหล้าเมามาตื่นเช้าก็ยังมึนอยู่ ยังไม่สร่าง ทำให้ขยันไม่ออก เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม พักผ่อนไม่พอ ร่างกายไม่แข็งแรง ต้องเว้นอบายมุขเสียก่อน เมื่อสุขภาพดี จึงจะทำการงานได้

        ในการคิดจะทำสมาธิ ต้องลงมือทำทันที ส่วนใหญ่เสียเวลาตรงตั้งท่ามากไป พอคิดได้ก็ใช้เวลาตั้งท่าหลายวัน เมื่อเริ่มจะทำก็เหนื่อยเสียก่อน เพราะคิดจนเหนื่อย มีลูกเล่นมาก ทำได้หน่อยเดียวเลยเลิก ดังนั้นเมื่อคิดปั๊บ ต้องทำเลย จะรู้สึกสนุกและอยากจะทำต่อไป เหมือนเด็กเรียนหนังสือ เด็กที่ขยันเรียนหนังสือ เรียนเสร็จ กลับมาบ้านทบทวนแบบฝึกหัด ทบทวนแบบเรียน ทำการบ้าน เมื่อถึงคราวไปเรียนใหม่จะอยากเรียนต่อ เพราะความรู้เก่าก็แน่น ความรู้ใหม่ก็ดูมาล่วงหน้า จึงอยากจะเรียน ถึงคราวเรียนสบตาครูอย่างเดียว กลัวครูจะไม่ถาม อยากให้ครูถาม เพราะมีความพร้อมที่จะตอบ คนที่ทำสมาธิบ่อยๆ จะรู้สึกมีความสุขกับการทำสมาธิ และอยากนั่งให้ยิ่งๆ ขึ้นไป



[1] พระราชภาวนาจารย์, พระธรรมเทศนา, 1 กรกฎาคม พ.ศ.2541

[2] มรดกธรรม กัณฑ์ที่ 2 หน้า 64. 

[3] หลวงพ่อธัมมชโย,พระธรรมเทศนา, 3 ตุลาคม 2536.



Complete and Continue