11.1 สังขจักรพรรดิราช

สังขจักรพรรดิราช

        ในอดีต ณ เมืองอินทปัตถ์ มีพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่าสังขะ ทรงปกครองโลกด้วยรัตนะทั้ง 7 อยู่มาวันหนึ่ง มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนุ่งห่มผ้าอันพิสดารต่างจากชาวเมืองทั้งหมด ผ้าที่บุรุษนี้นุ่งเป็นผ้าสีเดียวตลอดทั้งผืน มองไกลๆ คล้ายดั่งกองเพลิงสว่างไสว ชาวบ้านเห็นบุรุษนี้ห่มผ้าทั้งยาวทั้งใหญ่สะบัดไปตามลม เกิดหวาดหวั่นคิดว่าเป็นยักษ์ร้าย ช่วยกันเอาไม้ไล่ตี บุรุษนั้นรีบเดินหลบเลี่ยงพัลวันไปตลอดทาง จนเข้าไปในเขตพระราชวัง พลันได้พบกับสังขจักรพรรดิราช นับว่ามีโชควาสนาอย่างยิ่ง แต่มิใช่โชควาสนาของบุรุษหนุ่ม กลับเป็นโชควาสนาของพระเจ้าจักรพรรดิ!

"ท่านมาหาเรา ท่านมีนามกระไรหรือ" พระเจ้าจักรพรรดิตรัสถาม

"ข้าแต่มหาราช อาตมาภาพชื่อว่าสามเณร"สามเณรทูลตอบ

"ใครขนานนามนี้ให้ท่าน" พระเจ้าจักรพรรดิตรัสถาม

"อาจารย์ของอาตมาภาพให้นามแก่อาตมาภาพ"สามเณรทูลตอบ

"อาจารย์ของท่านมีนามว่ากระไร" พระเจ้าจักรพรรดิตรัสถาม

"อาจารย์ของอาตมาภาพชื่อว่า ภิกษุ"สามเณรทูลตอบ

"อาจารย์ของท่านทำไมมีนามว่าภิกษุ" พระเจ้าจักรพรรดิตรัสถามด้วยแววพระเนตรปีติ

"มหาบพิตร! ภิกษุเป็นชื่อเรียกของพระสงฆ์ซึ่งเป็นรัตนะที่หาค่าไม่ได้"สามเณรทูลตอบ

 

        พระราชาเหมือนทรงมั่นพระทัยในบางอย่าง รีบเหาะขึ้นจากบัลลังก์ไปลงเบื้องหน้าสามเณรพริบตานั้น ดอกปทุมเท่าล้อรถชำแรกปฐพีรองรับเท้าพระสังขจักรพรรดิ ทรงประทับนั่งประคองอัญชลีไหว้สามเณร ตรัสถามด้วยปีติที่ค่อยๆ ทะลักท่วมท้นว่า..

"สามเณรผู้เจริญ! ใครกันเล่าที่ให้นามคำว่าพระสงฆ์ แก่อาจารย์ของท่าน"

พระเจ้าจักพรรดิแม้ตรัสถาม แต่เหมือนทรงรอคอยการยืนยันคำตอบในพระทัยสามเณรทูลตอบว่า..

"ผู้ประทานนามพระสงฆ์ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่าสิริมัตตะ"

 

        เป็นจริงดังคาด! ตลอดเวลามา พระเจ้าจักรพรรดิเฝ้ารอคอยสดับข่าวคราวของพระรัตนตรัยตามคำโบราณมาตลอด ทรงเชื่อว่ามีจริงแต่ไม่รู้ลักษณะเป็นอย่างไร และอยู่ที่ใดในจักรวาล ดังนั้นทันทีที่ได้ยินคำว่า พุทธะ เท่านั้น พระวรกายของพระองค์มิอาจรองรับปีติมากมายปานนี้ได้ถึงกับวิสัญญีภาพไปแล้ว ทรงฟื้นขึ้นมาตรัสถามทันทีถึงที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงทราบว่าอยู่ห่างไปทางทิศเหนือจากนี้ไป 16 โยชน์ จึงสละจักรพรรดิสมบัติ แล้วออกจากพระนครไปทันที

       พระองค์ทรงดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า เพราะบัดนี้สมบัติของพระองค์มีแต่พระบาทและพระสรีระกายเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เพราะเพียงวันเดียวเท่านั้น พระบาททั้งสองของพระองค์ก็แตกจนพระโลหิตไหลท่วมพระบาท ทรงใช้พระชงฆ์ดำเนินแทนพระบาท(เดินเข่า)ต่อไป

 

         เข้าสู่วันที่ 4 แล้ว.. พระโลหิตได้ไหลนองท่วมพระวรกายจนแดงฉานไปทั้งพระสรีระ พระองค์มิอาจใช้พระชงฆ์และพระหัตถ์ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ยังทรงไม่ย่อท้อ ทรงมุ่งการได้เฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ พระองค์ทรงใช้พระอุระ(อก)ดำเนินต่อไปด้วยพระหฤทัยที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ระยะทางยังเหลืออีกยาวไกล ไม่มีทีท่าว่าพระองค์จะเสด็จไปถึงได้เลย ระหว่งทางนั้นเอง มีรถคันหนึ่งผ่านมา..


"ท่านผู้เจริญ! ท่านหลีกทางไปก่อน เราจะขับรถผ่านไป"สารถีกล่าว

พระราชาทรงไถพระอุระไป พลางทอดพระเนตรนายสารถี แล้วกล่าวว่า..

"ท่านสารถี เราดำเนินตามทางอันสมควรแล้ว ทำไมจะต้องถอยหลีก เรายึดถือพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เส้นทางนี้เราใช้ดำเนินไปเฝ้าพระพุทธเจ้า หากท่านจะไปก็นำรถทับร่างของเราผ่านไปได้เลย เราจะไม่หลีกทางให้ท่านเด็ดขาด!"

"ถ้าท่านจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอท่านจงขึ้นรถของเรา เราก็จะไปยังที่อยู่ของพระพุทธเจ้า"

       พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จขึ้นรถ รถได้มาถึงอารามที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในอาราม พระเจ้าจักรพรรดิรีบเสด็จลงจากรถเข้าไปในอาราม เพียงแค่เห็นแสงพุทธรัศมีวูบแรกเท่านั้น ยังมิทันก้าวพระบาทต่อไป ทรงปีติถึงกับวิสัญญีภาพไปอีก ทรงฟื้นแล้ว เสด็จเข้าไปใกล้พระบรมศาสดาประคองอัญชลีกราบทูลชื่นชมพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า..

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นนายกของโลก พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของชาวโลก ขอพระองค์โปรดทรงแสดงธรรมอันสูงสุดของพระองค์สักกัณฑ์หนึ่งเถิด พระเจ้าข้า"

       พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมด้วยพระนิพพานอันเป็นธรรมอันยิ่ง พระราชาทรงเลื่อมใสในธรรมบทนั้นยิ่งนัก เป็นเหมือนกับฝนตกลงมาในฤดูแล้งแผ่นดินแห้งผาก เกินกว่าที่พระองค์จะระงับความปีติเอาไว้ได้ จึงทรงดำริว่า นิพพานนี้เป็นธรรมเอกอุ เราจะถวายทานอย่างเอกของเราเพื่อบูชาธรรมนี้ ทูลพระบรมศาสดาว่า..

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญในเมื่อพระองค์ทรงแสดงพระนิพพานซึ่งเป็นธรรมสูงสุดของสรรพธรรมแม้ข้าพระองค์ก็จะตัดศีรษะอันเป็นอวัยวะสูงสุดของอวัยวะทั้งปวงของข้าพระองค์ เพื่อบูชาธรรมเอกของพระองค์ ขอพระองค์ทรงบรรลุอมตธรรมก่อนเถิด ด้วยผลแห่งทานนี้ ข้าพระองค์ขอบรรลุพระนิพพานในภายหลัง"

      แล้วทรงใช้พระนขา(เล็บ)ออกแรงด้วยพละกำลังดุจช้างสารของพระองค์ตัดพระเศียร วางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ถวายบูชาพระพุทธองค์ แล้วได้จุติไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก

 

       ด้วยผลแห่งพระโลหิตที่หลั่งไหลออกจากพระเศียร ทำให้ท่านผู้นี้จะมีรัศมีตั้งแต่อเวจีนรกจนถึงภวัคคพรหม ชนทั้งหมดที่มิได้เห็นรูปกายมหาบุรุษของพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ได้ทำทานรักษาศีล เจริญภาวนาในพระพุทธศาสนา จะสามารถอุบัติในสำนักของท่านผู้นี้ในกาลต่อมาได้เพราะท่านผู้นี้จะมาครอบครองกายมหาบุรุษ ผู้ทรงพระนามว่า "อริยเมตไตรยะ"

-----------------------------------------------


Complete and Continue