11.3 โพธิมหาเสนาบดี

โพธิมหาเสนาบดี

       ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า กาลนั้นพระผู้มีพระภาคทรงเสวยผล มาบัติใต้ต้นนิโครธ พระเจ้ากิงกิสสมหาราชทรงทราบดีถึงอานิสงส์แห่งผลสมาบัตินั้น จึงตรัสสั่งทหารให้ตีกลองประกาศไปทั่วนครว่า..

"ห้ามผู้ใดถวายทานแด่พระพุทธเจ้าก่อนที่พระราชาจะถวาย ผู้ใดถวายจะได้รับโทษทัณฑ์"

 

      พระราชาทรงมีรับสั่งให้ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพราบ และทัพดาบ เฝ้าอารักขารอบที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นรุ่งอรุณ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้เสวยภัตตาหารมา 7 วัน ทรงออกจากนิโรธสมาบัติภัตตาหารของพระองค์วันนี้จะมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล โพธิมหาเสนาบดีรู้อานิสงส์นี้ดี ท่านปรารถนาจะได้อานิสงส์ใหญ่นี้ เพราะโอกาสเช่นนี้หาได้ยากอย่างยิ่งจริงๆ โดยมากพระราชาจะรับโอกาสนี้ไปเสียหมด หากรอคอยเรื่อยไปก็พอมีหวังคือหวังคว้าน้ำเหลวไปตลอดชาติ ท่านจึงคิดว่า ..

"คราวนี้! เราต้องถวายทานแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าก่อนใครให้ได้ แม้จะถูกพวกทหารบั่นร่างเป็น 7 เสี่ยงก็ตาม หากไม่ได้ถวายคราวนี้ เรายอมตายเสียดีกว่า"

 

เสนาบดีเรียกภรรยามาว่า..

" ที่รัก พี่จะถวายทานแด่พระตถาคตเป็นคนแรก แต่จะได้รับโทษทัณฑ์ จะตายหรือรอดก็ยังไม่รู้ที่รัก น้องช่วยจัดข้าวห่อหนึ่งกับผ้าผืนหนึ่งให้พี่ด้วยเถิด"

ภรรยารับคำสามี ซ้ำยังให้ส่วนของตนฝากสามีไปถวายด้วยว่า..

"ขอพี่โปรดเอาส่วนของน้องไปถวายด้วยเถิด"

เสนาบดีเตรียมไทยธรรมพร้อมแล้ว เดินมาถึงทหารยาม พวกทหารกล่าวถามอย่างสงสัย..

"ท่านเสนาบดี ท่านมาที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าทำไมกันหรือ"

โพธิเสนาบดีเห็นท่าทีทหารอ่อนน้อมเคารพตนคิดในใจว่า..

"ถ้าหากเราโกหกไปว่า พระราชาให้เรามานิมนต์พระพุทธเจ้า พวกนี้ย่อมเชื่อเราแน่ แต่ทว่าทานที่ถวายไปด้วยการพูดเท็จย่อมไร้ผล เพราะฉะนั้น เราจะไม่พูดโกหกเด็ดขาด! "

เสนาบดีตัดสินใจบอกพวกทหารไปว่า..

"ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะเข้าไปถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า"

ทหารอารักขาเปลี่ยนท่าทีทันที กล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า..

"ท่านอำมาตย์! ท่านไม่รู้ราชทัณฑ์รึ หรือท่านคิดว่าคอของท่านแข็งเหมือนเหล็กกันเล่า"

 

       ว่าแล้วก็พากันเข้ามาจับมัดตัวพาไปเฝ้าพระราชา พระราชาทราบเรื่องก็ทรงกริ้วจัด ตรัสสั่งให้นำไปประหารที่ป่าช้าทันทีพระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พลันปรากฏพระองค์เฉพาะ

หน้ามหาเสนาบดีที่กำลังจะถูกประหาร ตรัสว่า..

"อำมาตย์ บัดนี้ท่านจะสละชีวิตของท่าน ท่านมีปัจจัยใดก็จงให้ทานตามกำลัง จงยังจิตให้เลื่อมใสเถิด"

      ขณะนั้นเอง ข้าวห่อที่กระจัดกระจายไปตอนทหารค้นตัวจับกุม พลันมาปรากฏตรงหน้าเสนาบดี โพธิเสนาบดีเกิดปีติเลื่อมใสไม่มีประมาณ ยื่นภัตตาหารของตนและภรรยาถวายด้วยความเคารพ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า..

"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก ข้าพระองค์ได้สละชีวิตนี้แล้ว ด้วยผลทานนี้ ขอข้าพระองค์จงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด"

 

      ด้วยผลแห่งการถวายข้าวห่อหนึ่งแลกด้วยชีวิต ทำให้ยุคที่ท่านมาเกิด มหาชนจะได้บริโภคข้าวสาลีอยู่เป็นนิตย์ใต้ร่มบารมีของท่าน และผลแห่งการถวายผ้าจะมีเศวตฉัตรบังเกิดขึ้นเบื้องบนอยู่เป็นนิตย์ ผลแห่งทานชีวิตนี้ กอปรกับบารมีที่สร้างมาหลายอสงไขย จะทำให้ได้ครอบครองกายมหาบุรุษ และใช้กายนี้ได้หนึ่งแสนปี

พระบรมศาสดาตรัสถึงการสร้างบารมีไว้ว่า..

"สัตบุรุษทั้งหลายย่อมให้ทานที่บุคคลอื่นให้ได้ยาก ย่อมทำสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก คนพาลทั้งหลายย่อมไม่ทำตามที่สัตบุรุษดำเนิน ทางนี้อันธพาลดำเนินตามไม่ได้ ปฏิบัติได้ยาก เพราะฉะนั้นสัตบุรุษและคนพาลจึงมีทางดำเนินไปต่างกัน คนพาลไปนรกสัตบุรุษนำพาไปสวรรค์"

-----------------------------------------------


Complete and Continue