3.1 ความรู้เรื่องจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ (พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ)

3.1 ความรู้เรื่องจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ 

 การค้นพบจักรวาลทางวิทยาศาสตร์นั้น นักดาราศาสตร์ได้นำเสนอทฤษฎีว่าด้วยการกำเนิดโลกที่ต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาต่างๆ ที่เชื่อว่าเทพเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นำเสนอว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลแต่เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ แม้ดวงอาทิตย์จะเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ แต่ดวงอาทิตย์เป็นเพียงดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในบรรดาดาวฤกษ์อีกนับหลายล้านดวงที่รวมตัวกันเป็นกาแล็กซี หรือดาราจักร ที่เรียกว่า หรือที่คนไทยเรียกว่า ทางช้างเผือกในจักรวาลของเรามีกาแล็กซีประมาณแสนล้านกาแล็กซี

นักดาราศาสตร์อาจจะแบ่งดวงดาวออกเป็นกาแล็กซี เป็นหมวดหมู่ตามที่เห็นว่าเหมาะ มี เท่าที่

ค้นพบได้โดยอาศัยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และ รุปได้ว่าจักรวาลมีลักษณะเป็นเกลียวเหมือนก้นหอย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มองเห็นว่าประกอบไปด้วยหมู่ดาวมากมายละลานตา และที่จุดศูนย์กลางเป็นความว่างไ วแผ่ออกไปกว้างไกลมาก โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในจักรวาลเท่านั้น

         3.1.1 จักรวาลมีจำนวนมากนับประมาณไม่ได้ 

 สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในโลกใบนี้มีเป็นจำนวนมาก จนดูเหมือนว่าโลกของเรามีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่แท้ที่จริงแล้วโลกเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งในจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ และหากเรานำจักรวาลแต่ละจักรวาลมารวมกัน เราจะเห็นเป็นกลุ่มของจักรวาลที่รวมตัวกัน มีขนาดที่ต่างกัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าในโลกธาตุนั้นมีจำนวนจักรวาลที่รวมตัวกันมากหรือน้อย ในย่อหน้านี้มีศัพท์ที่น่านใจอยู่คำหนึ่ง คือ คำว่า โลกธาตุ ซึ่งหมายถึง กลุ่มจักรวาล

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงเรื่องจำนวนของจักรวาลนี้เมื่อ 2,500 กว่าปีแล้ว

ว่าจักรวาลนี้มิได้มีเพียงจักรวาลเดียว แต่มีจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่า อนันตจักรวาล ซึ่งตรงกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีการค้นพบเมื่อไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมาว่า จำนวนของจักรวาลมีมากกว่าหนึ่งจักรวาลเช่นกัน น่าอัศจรรย์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสามารถบอกเราได้อย่างแม่นยำว่า จักรวาลมีจำนวนมากมายมหาศาล ตั้งแต่เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว ทั้งที่ในขณะนั้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถบอกอะไรแก่เราในเรื่องนี้ได้เลย ซึ่งรายละเอียดจำนวนของจักรวาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นพบมีกล่าวไว้ในจูฬนีสูตร1 มีใจความโดย รูปว่า

* ในสมัยหนึ่งหลังจากพระเถระนั่งสมาธิอยู่ตามลำพังแล้ว ท่านเกิดความสังสัยในเรื่องของโลกธาตุขึ้นมา จึงได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าในอดีตกาล ยืนอยู่บนพรหมโลก เปล่งรัศมีออกจากกาย กำจัดความมืดมนอนธการใน ๑,๐๐๐ จักรวาล กำจัดทิฐิมานะของพวกพรหมแล้วแสดงธรรมิกถาให้เทวดา และมนุษย์ใน ๑,๐๐๐ โลกธาตุได้ยินเสียงของตน แล้วหากเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงสามารถตรัสให้โลกธาตุได้ยินพระสุรเสียงได้เท่าไร พระเจ้าข้า“ 

    พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงตอบตรงๆ แต่ตรัสว่า “ขนาดพระสาวกยังทำได้ถึงเพียงนั้น แล้วจะกล่าวไปไยกับพระตถาคตทั้งหลาย ที่ไม่มีใครจะเปรียบปานได้ ดูก่อนอานนท์เธอพูดอะไรอย่างนี้ พระสาวกดำรงอยู่ในญาณเฉพาะส่วน แต่พระตถาคตเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อีกทั้งบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีพระญาณหาประมาณมิได้ เธอพูดอย่างนั้นก็เหมือนกับเอาปลายเล็บช้อนฝุ่นขึ้นมาเปรียบกับฝุ่นในพื้นมหาปฐพี เพราะวิสัยของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง กำลังรู้ญาณของพระสาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างหนึ่ง กำลังรู้ญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง“ 

    ท่านพระอานนท์ฟังแล้ว ไม่ลดละความพยายามใคร่รู้ จึงทูลถามซํ้าอีก เพราะอยากรู้ว่า พระพุทธองค์ทรงทำได้แค่ไหน ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเช่นเดิม เมื่อกราบทูลถามครั้งที่สาม พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “เธอเคยได้ฟังหรือไม่ อานนท์ สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ” “ไม่เคยได้ยินพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นนั้นเธอจงฟังกระทำไว้ในใจให้ดี” จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องโลกธาตุให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะเรื่องราวเหล่านี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ที่จะไปตรวจดูโลกธาตุ แต่พุทธญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอัปปมัญญา คือ ไม่มีประมาณ ใครๆ ก็กำหนดไม่ได้ 

    พระพุทธองค์ตรัสว่า “อานนท์ ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกก็มีเนื้อที่เท่านั้น ในจำนวน ๑,๐๐๐ จักรวาล มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราชผู้ปกครองทวีปอย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลกชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ หมายถึง โลกธาตุอย่างเล็กมี ๑,๐๐๐ จักรวาล 

    สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุมีเท่าไร ให้นำโลกจำนวนเท่านั้นคูณด้วย ๑,๐๐๐ ก็จะกลายเป็นทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ คือ โลกธาตุอย่างกลางมี ๑,๐๐๐,๐๐๐ จักรวาล ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ มีประมาณเท่าใด ให้นำโลกจำนวนเท่านั้นคูณด้วย ๑,๐๐๐ ท่านเรียกว่า ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ หมายถึง โลกธาตุอย่างใหญ่มี ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิจักรวาล อานนท์ ตถาคตเมื่อมีความจำนงจะพูดให้ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุได้ยินเสียงก็สามารถทำได้ หรือให้ยิ่งกว่านั้นก็สามารถทำได้” 

    พระอานนท์ทูลถามต่อไปว่า “พระองค์ทรงทำอย่างไร ทั้งติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุจึงได้ยินเสียงของพระองค์ทั้งหมดเลย” 

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ตถาคตอยู่ในที่นี้ จะแผ่รัศมีไปทั่วติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ เมื่อสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุเหล่านั้นรู้จักแสงสว่างนั้น ตถาคตก็บันลือเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน ประหนึ่งว่าพูดให้เฉพาะตน นี่แหละคือพุทธานุภาพที่ไม่มีประมาณ ที่ไม่มีใครจะยิ่งกว่าหรือเสมอเหมือน“ 

    ทันทีที่จบพุทธดำรัส พระอานนท์ถึงกับอุทานออกมาว่า “เป็นลาภของเราหนอ เราได้ฟังดีแล้วหนอ พระบรมศาสดาเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพใหญ่หลวงถึงเพียงนี้”  

    ฝ่ายพระอุทายีได้ยินเสียงของพระอานนท์เปล่งอุทานก็เกิดความรำคาญ จึงกล่าวขัดคอว่า “อาวุโสอานนท์ ท่านฟังในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้ จะได้ประโยชน์อะไร ทำไมต้องอัศจรรย์ใจเลื่อมใสถึงเพียงนั้นเล่า”  

    พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับเช่นนั้น จึงตรัสบอกพระอุทายีว่า “อย่าพูดอย่างนั้นเลยอุทายี ถ้าอานนท์จะพึงเป็นผู้ยังไม่สิ้นราคะ ในภพชาตินี้ เมื่อละโลกไปแล้ว ด้วยความที่จิตเลื่อมใสในเราที่ได้ฟังเรื่องแสนโกฏิจักรวาลนี้ เธอจะพึงได้เป็นเทวราชาในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติที่รุ่งเรือง ๗ ชาติ เป็นมหาราชาในชมพูทวีปนี้ ๗ ชาติ แต่อานนท์จักได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และปรินิพพานในปัจจุบันชาตินี้” 

    นี่เป็นพุทธานุภาพย่อๆ ที่หลวงพ่อนำมาแสดงให้ได้รับรู้กันไว้ว่า โลกและจักรวาลนี้มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มนุษย์ ๖,๐๐๐ กว่าล้านคนบนโลกใบนี้ เปรียบเสมือนเศษเสี้ยวธุลีในเล็บมือของเรา เมื่อเปรียบกับฝุ่นในจักรวาล ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย ไม่ว่าจะมีอุปกรณ์ใดๆ ในโลกนี้ที่ว่ามีขีดความสามารถสูงเพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะไปพิสูจน์โลก และจักรวาลได้ มีเพียงใจที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ และรู้เห็นได้ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง วิชชาความรู้เหล่านี้มีสอนกันแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น จะอาศัยแต่ตำรับตำราเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องศึกษาโดยลงมือปฏิบัติด้วย คือฝึกทำใจให้หยุดนิ่งด้วย ถึงจะไปรู้ไปเห็นได้ เพราะฉะนั้น หลวงพ่ออยากให้ทุกๆ ท่าน มาเป็นนักศึกษาค้นคว้า พิสูจน์กันให้เห็นจริงด้วยการทำใจให้หยุดนิ่งให้ถูกส่วน จนเข้าไปพบกับผู้รู้แจ้งภายในกันทุกๆ คน

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 * มก. จูฬนีสูตร เล่ม ๓๔ หน้า ๔๓๑

Complete and Continue